
ฟิล์มกรองแสง 40% 60% 80 % คืออะไร
ความเข้าใจผิดที่แก้ไขยากสำหรับวงการฟิล์ม สืบเนื่องจากในยุคแรกๆ ฟิล์มมีไม่กี่ชนิดและมีไม่กี่ระดับความเข้มโดยมาตรฐานตอนนั้นจะมีเบอร์ที่เป็นมาตรฐานสากลคือ เบอร์ 5, 20, 50 ซึ่งตามมาตรฐานแล้วเบอร์ฟิล์มจะบ่งบอกถึงประมาณการณ์ของค่าแสงส่องผ่าน (Visible Light Transmittance) เช่น ฟิล์มรหัส xx 05 จะหมายถึงฟิล์มเบอร์นี้แสงสามารถส่องผ่านได้ประมาณ 5% คือฟิล์มมีความเข้ม 95%
บ้านเราเห็นมันเข้มหรือทึบสุดเลยเรียกว่าฟิล์ม 80%, ฟิล์มเบอร์ xx 20 หมายถึงฟิล์มเบอร์นี้ แสงสามารถส่องผ่านได้ประมาณ 20% หรือฟิล์มเข้ม 80% บ้านเราเรียกฟิล์มเบอร์นี้ว่าฟิล์ม 60%, ฟิล์มเบอร์ xx 50 หมายถึงฟิล์มเบอร์นี้ แสงสามารถส่องผ่านได้ประมาณ 50% หรือฟิล์มเข้ม 50% บ้านเราเรียกฟิล์ม 40% นี่แหละครับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น
การลดความร้อนของฟิล์มเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งถกเถียงกันไม่จบบ้างก็อยากให้วัดกับหลอดไฟซึ่งผู้บริโภคคงสับสนกันอยู่พอสมควรว่าจะทดสอบและตัดสินใจเลือกกันอย่างไรให้ถูกต้องกันแน่เราจะดูตารางเปรียบเทียบไอความร้อนที่เราได้รับดูกันก่อน ระหว่างแหล่งกำเนิดที่ต่างกัน คือ ระหว่างดวงอาทิตย์กับหลอดไฟ
รังสีและแสงสว่าง | ดวงอาทิตย์ | หลอดไฟ (สปอร์ตไลท์) |
---|---|---|
แสงสว่าง | 44% | 10-20% |
รังสีอินฟราเรด | 53% | 80-90% |
รังสียูวีหรืออุลตร้าไวโอเลต | 3% | น้อยมาก |
รวม | 100% | 100% |

ดังนั้นการพิจารณาในการเลือกฟิล์มกรองแสงจากคุณสมบัติในการลดความร้อนนั้น สามารถใช้หลอดไฟในการเปรียบเทียบได้ คือให้รู้ว่าฟิล์มตัวไหนสามารถลดรังสีอินฟราเรดได้ดีกว่ากัน(ควรจะเทียบใน ระดับฟิล์มที่มีความเข้มระดับเดียวกันหรือใกล้เคียง) ก็จะได้รู้ว่าฟิล์มตัวไหนสามารถลดความร้อนได้ดีกว่า ย้ำนะครับว่าให้เทียบในระดับความเข้มเดียวกัน แต่ก็อย่าคาดหวังว่าจะลดความร้อนได้ดีอย่างที่เรารู้สึก เพราะดวงอาทิตย์มีส่วนประกอบของความร้อนอย่างอื่นประกอบด้วย ถ้าจะเอาค่าการลดความร้อนรวม (Total Solar Energy Rejected หรือ TSER) ก็ลองแวะร้านค้าตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Smarttec ดูครับเรามี Optical Meter ไว้ให้ทดสอบครับ ดังนั้นการเลือกฟิล์มก็ควรที่จะดูเรื่องโครงสร้างสินค้า-ราคาและการลดความ ร้อนรวมจากแสงแดดเป็นตัวประกอบด้วย จะได้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
ฟิล์มธรรมดา
ฟิล์มธรรมดา คือฟิล์มที่ไม่มีส่วนผสมของโลหะหรือสารอื่นใดที่ช่วยในการลดคลื่นรังสีความ ร้อน โดยจะมีโครงสร้างการผลิตอยู่คร่าวๆ 2 แบบคือ
ชนิดสีผสมกาว (Color in adhesive)

ชนิดสีอยู่ในเนื้อฟิล์ม (Color in P.E.T.)

โดยถ้าเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของทั้ง 2 ชนิด จะได้การเปรียบเทียบดังนี้
ด้าน | ชนิดสีผสมกาว | ชนิดสีอยู่ในเนื้อฟิล์ม |
---|---|---|
คุณภาพการลดความร้อน | 30-50% | 30-50% |
ราคา | 800-1,000 บาท/คัน | 1,200-1,500 บาท/คัน |
อายุการใช้งาน | 1-3 ปี | 5-7 ปี |
วิสัยทัศน์ในการมองจากภายใน | ค่อนข้างขุ่นมัว | ดีกว่า |

ฟิล์มปรอท, ฟิล์มเคลือบโลหะ และฟิล์มลดความร้อน
ฟิล์มปรอท, ฟิล์มเคลือบโลหะ และฟิล์มลดความร้อน คือฟิล์มที่นำโลหะเข้ามาเป็นส่วนผสมในการผลิต โดยในปัจจุบันที่นิยมใช้มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันคือ
ชนิดสีผสมกาวเคลือบด้วยแผ่นโลหะ
(Color in adhesive with Metalized P.E.T.)

ชนิดสีอยู่ในเนื้อฟิล์มเคลือบด้วยแผ่นโลหะ
(Color in P.E.T. with Metalized P.E.T.)

โดยถ้าเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของทั้ง 2 ชนิด จะได้การเปรียบเทียบดังนี้
ด้าน | ชนิดสีผสมกาว | ชนิดสีอยู่ในเนื้อฟิล์ม |
---|---|---|
คุณภาพการลดความร้อน | 35-85% | 35-90% |
ราคา | 2,000-3,000 บาท/คัน | 3,000-5,000 บาท/คัน |
อายุการใช้งาน | 3-5 ปี | 7-10 ปี |
วิสัยทัศน์ในการมองจากภายใน | ค่อนข้างขุ่นมัว | ดีกว่า |

ฟิล์มอินฟราเรด (Infrared Film)
ฟิล์มอินฟราเรด (Infrared Film) เป็นฟิล์มชนิดที่เคลือบสารพิเศษในการไปตัดรังสีอินฟราเรดได้ดี ซึ่งรังสีอินฟราเรดเป็นส่วนประกอบหนึ่งของความร้อน (ดูการลดความร้อนของฟิล์มในช่วงต่อไป) แต่จากการโฆษณาทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าสามารถลดความร้อนได้ดี โดยใช้ตัวเลขในการลดรังสีอินฟราเรดเป็นตัวโฆษณาและมีราคาที่สูงมาก ทำให้ตลาดไม่ค่อยตอบรับเท่าที่ควร แต่ในปัจจุบันมีสินค้าประเภทนี้ที่มีราคาถูกลงให้ได้เลือกกันมากขึ้น

ฟิล์มนิรภัย (Safety Film)
ฟิล์มนิรภัย (Safety Film) เป็นฟิล์มชนิดที่มีความหนาตั้งแต่ 4 MIL ขึ้นไป (1 MIL = 1/1,000 นิ้ว) มีทั้งชนิดลดความร้อนและไม่ลดความร้อน ส่วนมากจะใช้ในงานอาคารสูงเพื่อยึดกระจกไว้เวลากระจกแตก


